Loading...

HEALTH CORNER

อ่านเรื่องราวพบคำแนะนำเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี พร้อมกิจกรรมและข่าวสารให้คนรักสุขภาพได้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างอย่างถูกวิธี

เทคนิคช่วยหลับสนิท เพื่อสุขภาพที่ดี

โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท การคิด และความจำ

 

ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สมาคมการแพทย์เพื่อการนอนหลับโลก ได้กำหนดให้วันศุกร์ในสัปดาห์ที่ 2 เต็มสัปดาห์ของเดือนมีนาคมทุกปี

 

เป็นวันนอนหลับโลก (World Sleep Day) ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 18 มีนาคม 2559 และกำหนดคำขวัญ “หลับสนิท ชีวิตมีสุข (Good Sleep is Reachable Dream)” ในการจัดรณรงค์ส่งเสริมการนอนหลับพร้อมกันทั่วโลก

 

โดยกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย จะจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการนอนหลับทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงการนอนหลับและสุขอนามัยการนอนที่ดี

 

เพราะการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ในระยะเวลาที่เหมาะสมเพียงพอ จะดีต่อสุขภาพกายและใจ

 

การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้พักผ่อน ระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด ไม่ต้องออกแรงมากเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

 

รวมถึงเป็นช่วงเวลาที่เกิดการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ปรับสมดุลของสารเคมีต่างๆ ตลอดจนเป็นระยะที่สมองทำการเรียบเรียงข้อมูล และจัดเก็บเป็นหมวดหมู่ 

 

ทำให้สมองเกิดการจดจำและมีพัฒนาการ หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง

 

ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท การคิด และความจำ รวมไปถึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ อาจสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานด้วย

 

ด้าน นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย จัดโครงการส่งเสริมการนอนหลับสนิท ชีวิตมีสุขขึ้น

 

โดยจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการนอนหลับในวันที่ 18 มีนาคม 2559 ที่สถาบันโรคทรวงอก จ.นนทบุรีเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงการนอนหลับและสุขอนามัยการนอนที่ดี

 

พร้อมทั้งให้บุคลากรสาธารณสุขและเครือข่าย นำความรู้เกี่ยวกับการนอนหลับให้มีคุณภาพ ไปให้ความรู้ประชาชน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับให้มีคุณภาพ 

 

สำหรับในโครงการระยะยาวนั้น กระทรวงสาธารณสุขจะจัดทำแหล่งองค์ความรู้ สื่อความรู้ให้ประชาชนสามารถหาข้อมูลได้ง่าย และทำให้ประชาชนมีความรู้เบื้องต้นในการประเมินคุณภาพการนอนของตนเอง

 

สำหรับเทคนิคที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นนั้นมี 9 วิธี ได้แก่

 

1.ออกกำลังกายช่วงเย็นอย่างน้อย 30 นาที หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน

 

2.กินกล้วยหอม เพราะผิวของกล้วยหอมมีฤทธิ์เหมือนยานอนหลับ และมีอะมิโนแอซิดที่เรียกว่า ทริปโตฟาน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสารเซโรโทนิน เมื่อกินแล้วจะช่วยคลายเครียด คลายกังวล ทำให้หลับสบาย

 

3.หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนัก อาหารที่มีรสเผ็ด รสจัด หรืออาหารหวานมาก ก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง เพราะร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงในการย่อยอาหาร

 

4.หลีกเลี่ยงกาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นประสาททุกชนิด 4-6 ชั่วโมงก่อนเวลาเข้านอน

 

5.ผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจก่อนนอนด้วยการอาบน้ำอุ่น เดินเบา ๆ ไปมา หรือการนั่งสมาธิ และไม่ควรทำกิจกรรมที่กระตุ้นร่างกายและสมองไปจนถึงเวลาเข้านอน

 

6.จัดระเบียบห้องนอนและกำจัดสิ่งรบกวน ด้วยการปิดไฟและอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสารก่อนนอน แต่บางรายอาจจำเป็นต้องเปิดเพลงเบา ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศ ทำให้หลับสบายขึ้น

 

7.เลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้หลับยาก ตื่นบ่อย และฝันร้าย เนื่องจากผลของสารนิโคติน
 

 

8.เข้านอนให้เป็นเวลา ไม่ควรนอนดึกมาก ควรเข้านอนเวลาประมาณ 21.00 – 23.00 น. และปฏิบัติให้เป็นประจำ รวมถึงตื่นนอนให้เป็นเวลาทุกวัน รวมทั้งช่วงวันหยุดด้วย

 

9.เข้านอนเมื่อร่างกายพร้อมที่จะนอน คือเมื่อรู้สึกง่วง และไม่ได้อยู่ในภาวะตึงเครียด อย่าพยายามฝืนนอน หากไม่ง่วง

 

การนอนหลับที่เพียงพอสำหรับวัยแรกเกิด (แรกคลอด - 3 เดือน) ควรนอน 14-17 ชั่วโมง

วัยทารก (4 เดือน - 1 ปี) ควรนอน 12-15 ชั่วโมง

วัยเตาะแตะ (1-2 ปี) ควรนอน 11-14 ชั่วโมง

วัยก่อนเข้าเรียน (3-5 ปี) ควรนอน 10-13 ชั่วโมง

วัยเข้าโรงเรียน (6-13 ปี) ควรนอน 9-11 ชั่วโมง

วัยรุ่น (14- 17 ปี) ควรนอน 8-10 ชั่วโมง

วัยผู้ใหญ่ (18-64 ปี) ควรนอน 7-9 ชั่วโมง

วัยผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ควรนอน 7 – 8 ชั่วโมง

 

 

ที่มา : เว็บไซต์กรมอนามัย