อ่านเรื่องราวพบคำแนะนำเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี พร้อมกิจกรรมและข่าวสารให้คนรักสุขภาพได้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างอย่างถูกวิธี
ในอุตหกรรมอาหารทั้งหมด ภายใน 3 ปี
FDA หรือ องค์การอาหารและยา ของสหรัฐฯ ได้มีคำประกาศเกี่ยวกับการตัดสินใจ ออกคำสั่งให้ อุตสาหกรรมอาหารในสหรัฐทั้งหมด ยกเลิกการใช้ ไขมันทรานส์ในสูตรอาหารทุกชนิด
เนื่องจากที่ผ่านมา ได้มีการศึกษาวิจัยผลเสียที่ร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนว่า ไขมันทรานส์ก่อให้เกิดโรค อย่าง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น โดยโรคที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผลงานวิจัยที่ศึกษาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงแล้วทั้งสิ้น
ที่ผ่านมาบ้านเราก็เคยมีการตื่นตัวของ ไขมันทรานส์ ในกลุ่มของคนรักสุขภาพเช่นกัน เนื่องจาก ไขมันทรานส์นั้น จัดเป็นกรดไขมันที่เกิดจากกระบวนการแปรรูป
ของกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็น กรดไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันพืช เรียกว่า กระบวนการไฮโดรจีเนชั่น (Hydrogenation) เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง
หรือแม้กระทั่งการแปรรูปให้มีลักษณะเป็นกึ่งของแข็ง เช่น มาร์การีนหรือเนยเทียม เนยขาว ครีมเทียม เป็นต้น โดยวัตถุดิบเหล่านี้จะมีชื่อบนฉลากอาหาร
คือ กรดไขมันชนิดทรานส์ หรือ Hydrogenated Oil หรือ Partially Hydrogenated Oil
เหตุที่มีการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ก็เนื่องจากไขมันทรานส์สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข ทนความร้อนได้สูง
และมีรสชาติใกล้เคียงกับไขมันจากสัตว์ แต่จะมีราคาที่ถูกกว่า บรรดาผู้ประกอบกิจการอาหารต่าง ๆ มักนิยมนำไขมันทรานส์มาใช้ประกอบอาหารมากมาย
เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนการผลิตลง เช่น กลุ่มอาหารฟาสต์ฟูด ซึ่งใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอดไก่ มันฝรั่ง โดนัท หรือการนำมาใช้ในการประกอบกิจการเบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว ครีมเทียม และวิปปิ้งครีม เป็นต้น
ดังนั้นก็จะเห็นได้ว่า ในชีวิตประจำวันนั้น เรารับประทาน ไขมันทรานส์ กันเข้าไปโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ปริมาณที่บริโภคเข้าไปต่อวันว่ามากน้อยแค่ไหนจึงเป็นเรื่องที่ควรหันมาให้ความสนใจให้มากขึ้น
ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และผ่านกรรมวิธีในการปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพเบื้องต้นด้วยตัวเอง
ที่มาบางส่วนจาก http://www.thaihealth.or.th/