เพราะค้นพบความมหัศจรรย์ของ “สมุนไพร” ด้วยตนเอง หมอหนุ่มไฟแรงวัยเลขสาม จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล “หมอแบงค์–นพ.ธเนศ อมรพิทักษ์กูล” จึงลุกขึ้นจับปากกาเขียนหนังสือ “อายุยืนหมื่นปี ปฏิวัติสุขภาพด้วยสมุนไพรสไตล์โมเดิร์น” เปิดสมองให้คนไทยรู้จักการกินสมุนไพรคุณภาพดีอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันโรคร้ายๆ โดยไม่รอให้เจ็บป่วยเสียก่อน ถือเป็นการซื้อหลักประกันสุขภาพล่วงหน้า โดยไม่ต้องก้มหน้าก้มตาจ่ายเบี้ยประกันชีวิตแบบไม่รู้อนาคต
“ตอนผมเรียนรู้การใช้สมุนไพรใหม่ๆเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ผมฝันอยากให้คนไทยมีโอกาสรักษาโรคด้วยสมุนไพรสกัดคุณภาพดีที่ออกฤทธิ์ดีกว่า เร็วกว่า และกินง่ายกว่าสมุนไพรรูปแบบเดิม พวกยาต้มและยาลูกกลอน ผมยังฝันอยากปฏิวัติสุขภาพคนไทยให้แข็งแรงไปตลอดกาล และเมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพก็อยากให้ คนไทยคิดถึงสมุนไพรเป็นอันดับแรก เหมือนเวลาปวดหัวแล้วคิดถึงยาพาราเซตามอล ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คนไทยกินสมุนไพรต่อเนื่องทุกวัน เพื่อป้องกันร่างกายจากความเจ็บป่วยและมีชีวิตที่ยืนยาว ทุกวันนี้ผมเริ่มทำตามความฝันแล้ว ด้วยการทยอยนำสมุนไพรสูตรต่างๆที่ใช้ในคลินิกรักษาโรคแบบผสมผสานของผม “Herb Plus Clinic” มาปรับสูตรให้เหมาะกับการดูแลสุขภาพ เพื่อให้คนไทยมีโอกาสใช้สมุนไพรคุณภาพดี ดูแลสุขภาพร่างกายด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง และพึ่งพายาแผนปัจจุบันให้น้อยที่สุด”
คุณหมอรุ่นใหม่ตกหลุมรัก “สมุนไพร” ได้อย่างไร
ผมเห็นอากงใช้สมุนไพรรักษาโรคในบ้านตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งได้ผลจริง เมื่อผมเป็นนักเรียนแพทย์รามาฯสังเกตเห็นว่า การรักษาโรคแผนปัจจุบันเอาดีเต็มที่ไม่ได้ มันไม่หายขาด แต่เป็นการกดระงับชั่วคราว พอยาหมดฤทธิ์ก็กลับมาอีก ไม่มียาแผนปัจจุบันตัวไหนที่กินแล้วทำให้อวัยวะภายในกลับมาแข็งแรงได้จริงๆ ยิ่งเห็นได้ชัดกับตัวเองตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมมีไข้ต่ำๆตอน 5 โมงเย็นติดต่อกันทุกวันโดยไม่รู้สาเหตุ และรักษาให้หายขาดไม่ได้ สมัยผมเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย แม่ผมป่วยเป็นโรคหอบหืด ผมพาแม่ไปหาอาจารย์หมอแผนปัจจุบัน ที่เชี่ยวชาญด้านปอดระดับท็อปทรีของเมืองไทย แม่ผมได้รับยาสเตียรอยด์สังเคราะห์ ทั้งพ่นและกิน ปรากฏว่าหน้าบวมเป็นพระจันทร์ อาการหอบกลับหนักขึ้นเรื่อยๆ อาจารย์หมอก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร และยังคงให้สเตียรอยด์เรื่อยๆ จนตอนหลังผมได้เรียนรู้เรื่องสมุนไพรและการฝังเข็มตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน จึงให้แม่หยุดสเตียรอยด์สังเคราะห์ เปลี่ยนมากินสมุนไพรรักษาปอดแทน ทำให้อาการหอบดีขึ้นมาก ส่วนอาการไข้ต่ำๆของผมเพิ่งเข้าใจว่าเกิดจากภาวะของเหลวในร่างกายไม่เพียงพอ เนื่องจากการอยู่เวรในโรงพยาบาลทำให้อดนอนและไม่ได้นอนตามเวลาที่ร่างกายควรพัก จนเกิดความร้อนส่วนเกินจากการเผาผลาญมากเกินไป เหมือนเครื่องยนต์รถที่ไหม้เพราะน้ำยาหล่อเย็นไม่เพียงพอ เมื่อพบคำตอบจึงสามารถรักษาตัวเองให้หายขาดด้วยสมุนไพร
ร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนจีนจากไหน ฝึกฝนอยู่นานไหมกว่าจะเยี่ยมยุทธ์
หลังจบจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ผมได้เข้าคอร์สอบรมแพทย์เฉพาะทางด้านการฝังเข็ม ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน กับกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย แม้จะฝังเข็มเป็น แต่ต้องใช้เวลาเรียนอีก 3 ปี ทั้งที่เมืองไทยและประเทศจีน จึงจะสามารถ “แมะตรวจชีพจร” ได้จริงๆ เป็นศาสตร์ที่ยากมาก ในเมืองไทยมีหมอแผนปัจจุบันที่แมะเป็นจริงๆไม่ถึง 10 คน ระหว่างเรียนเรื่องการแมะ ผมก็ศึกษาเรื่องการใช้สมุนไพรเพื่อรักษาโรคด้วย สิ่งหนึ่งที่ค้นพบคือ การใช้สมุนไพรตัวเดียวเดี่ยวๆเป็นเรื่องผิด!! ต้องใช้สมุนไพรเป็นตำรับ โดยนำ สมุนไพรหลายๆ ตัวมาปรุงร่วมกันในสัดส่วนที่ถูกต้องเหมือนการปรุงยา การกินสมุนไพรตัวใดเดี่ยวๆอย่างที่นิยมในปัจจุบัน นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ถ้ากินติดต่อกันนานๆตัวเดียวจะเป็นพิษ
“การแมะ” ไขปริศนาความเจ็บไข้ได้ลึกขนาดไหน เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
“การแมะ” เป็นการตรวจจับชีพจรเพื่อตรวจดูการทำงานของอวัยวะภายใน การไหลเวียนของเลือด และปริมาณสารจำเป็นในร่างกายแทนที่จะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบางครั้งอาจเกิดความผิดพลาดในการตรวจจับความผิดปกติเล็กๆน้อยๆที่ก่อให้เกิดโรคร้าย สำหรับผม “การแมะ” คือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่สแกนร่างกายคนไข้ได้แม่นยำที่สุด เห็นในของที่คนอื่นไม่เห็น เหมือนคนอื่นเกิดมาตาบอดหมดแต่ผมมีตาเห็นอยู่คนเดียว!! “การแมะ” เป็นวิธีแม่นยำที่สุดที่จะบอกว่าร่างกายมีภาวะร้อนเกินไป หรือเย็นเกินไป ซึ่งเป็นหลักการปรับสมดุลร่างกายเพื่อพิชิตโรค
ภาวะร้อนเกินไป และภาวะเย็นเกินไป ส่งผลต่อสุขภาพแตกต่างกันอย่างไร
“คนที่ภาวะร่างกายเย็นเกินไป” ร่างกายจะไม่ค่อยกระตือรือร้นทำงาน และซ่อมแซมตัวเอง ปล่อยทิ้งไว้นานๆก็จะส่งผลให้เจ็บป่วยง่าย ไม่แข็งแรง และอายุสั้น เปรียบเหมือนบ้านร้างที่ผุพังไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีคนคอยดูแลรักษา อาการบ่งชี้คือ มักมีท้องอืดแน่น, ท้องผูก, ขี้หนาว, มือเท้าเย็นง่าย, ประจำเดือนมาน้อย และผมหงอกเร็ว ส่วน “คนที่ภาวะร่างกายร้อนเกินไป” ร่างกายจะทำงานมากเกินไป จนทำให้เสื่อมสภาพเร็ว เหมือนเครื่องยนต์ที่ไฟลุกไหม้จากความร้อนที่มากเกินไปหรืออาจเกิดจากภาวะอักเสบชั่วคราวในร่างกาย เช่น ติดเชื้อ ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพลง อย่างรวดเร็ว อาการที่สังเกตเห็นคือ ปากแห้ง, คอแห้งง่าย, ขี้หงุดหงิด, มีไข้ต่ำช่วงบ่าย-ค่ำ, ฝ่ามือฝ่าเท้าร้อน และปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ทั้งสองภาวะก่อให้เกิดโรคร้าย ทั้งโรคหัวใจ, มะเร็ง, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง
จากที่รักษาคนไข้ด้วยสมุนไพรเป็น 10 ปี ปัญหาใหญ่ของคนไทยคืออะไร
ข้อมูลสถิติที่ผมรวบรวมจากการตรวจสภาพร่างกายผู้ป่วยมากกว่า 5 พันคน ทำให้ค้นพบว่าคนไทย 99% มีภาวะเย็นเกินไป อันเนื่องมาจากนิสัยการกิน ด้วยความที่บ้านเราอากาศร้อน คนไทยจึงชอบกินน้ำเย็นและน้ำแข็ง คนไทยยังนิยมกินอาหารฤทธิ์เย็น เช่น ส้มตำ, ผักดิบ, สลัด และน้ำเต้าหู้ ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะเย็นเกินไป อวัยวะทำงานไม่เต็มที่ แม้จะกินอาหารดีมีประโยชน์แค่ไหน แต่ร่างกายก็ไม่แข็งแรงอยู่ดี เพราะระบบย่อยอาหารไม่แข็งแรง
อะไรคือทางแก้เพื่อปรับสมดุลร่างกายไม่ให้เย็นเกินไป
หัวใจของการมีสุขภาพดีคือ ร่างกายต้องไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่มีภาวะร่างกายเย็นเกินไป ปรับสมดุลได้ด้วยการเลือกกินอาหารและสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะภายในต่างๆทำงานเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้แก่ช้า และมีอายุยืนยาว สมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่เหมาะกับคนไทยก็มี ขิง, ข่า, ตะไคร้, กระเพรา, กระเทียม และพริกขี้หนู ส่วนเนื้อสัตว์ที่มีฤทธิ์เย็นน้อยและเป็นโปรตีนสะอาดมีสารตกค้างในเลือดน้อยคือหมูและปลา
อาหารประเภทไหนที่คนไทยควรหลีกเลี่ยง
อาหารทุกอย่างที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ผักดิบ, ส้มตำ, สลัด, น้ำเย็น, น้ำแข็ง, ไอศกรีม, น้ำผลไม้ปั่น การกินอาหารเพื่อสุขภาพจำพวกผักและธัญพืชแบบสุดโต่งก็ทำลายสุขภาพ เพราะมีฤทธิ์เย็นไม่เหมาะกับร่างกายคนไทย ผลิตภัณฑ์เนย, นม, ไข่, กะทิ, เนื้อวัว และเนื้อไก่ ก็เป็นตัวการก่อให้เกิดโรคร้าย เพราะทำให้เลือดข้นมีสารตกค้างในเลือดมาก
ทำไมต้องกินสมุนไพรก่อนป่วย ไม่ใช่ป่วยแล้วค่อยกิน
การกินสมุนไพรต่อเนื่องทุกวันคือการทำประกันชีวิตที่ดีที่สุด เป็นการป้องกันล่วงหน้าเหมือนมีหมอคอยรักษาโรคอยู่ภายในร่างกายเรา แทนที่จะมารักษาเมื่อป่วยหนักแล้ว สมุนไพรเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรค ทั้งยังช่วยปรับสมดุลชีวิตด้วย เมื่อร่างกายเกิดความสมดุลก็จะทำงานเต็มประสิทธิภาพ ตัวผมเองก็กินตำรับสมุนไพรบำรุงสุขภาพทุกวันต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปีแล้ว โดยไม่รอให้ป่วย ซึ่งผมเน้นกินตำรับสมุนไพรบำรุงสมอง เพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์-พาร์กินสัน, ตำรับสมุนไพรบำรุงเลือด และตำรับสมุนไพรป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตัน การกินสมุนไพรต่อเนื่องทำให้ออกฤทธิ์ดีกว่าการกินๆหยุดๆ
“ยาสมุนไพร” มีสเตียรอยด์เยอะ กินมากๆแล้วอันตรายจริงไหม?!
ในสมุนไพรมีสเตียรอยด์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่คน, พืช และสัตว์ สร้างขึ้นมา เพื่อให้กลไกในร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพไม่เกิดโทษใดๆ แต่ที่ผ่านมาเรามักรับข้อมูลบิดเบือนและได้รับการปลูกฝังให้เชื่อว่าสเตียรอยด์ทุกชนิดมีโทษไปหมด ทั้งๆที่สเตียรอยด์สังเคราะห์ที่อยู่ในยาแผนปัจจุบันเป็นผู้ร้ายตัวจริง!! เพราะทำให้ร่างกายอ่อนแอติดเชื้อง่าย, ไขมันในเลือดสูง, น้ำตาลในเลือดสูง, เป็นเบาหวาน, กระดูกพรุน และแผลในกระเพาะอาหาร
ถ้าไม่มีเงินพอจะกินสมุนไพรแพงๆ มีเคล็ดลับสุขภาพดีฉบับพอเพียงไหม
(ยิ้ม) การเลือกกินอาหารให้ถูกกับภาวะร่างกายก็ช่วยได้มาก ควรทานอาหารเช้าก่อน 9 โมงเช้า และไม่ทานอาหารเย็นเกิน 6 โมงเย็น นอกจากนี้ ควรเข้านอนก่อน 5 ทุ่ม เพราะเวลาระหว่าง 5 ทุ่มถึงตีสาม เป็นช่วงที่ร่างกายจะฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง รวมทั้งขจัดสารพิษภายในร่างกาย การนอนดึกหรือตื่นนอนกลางดึก เป็นสัญญาณว่าสุขภาพคุณกำลังมีปัญหา เพราะไตไม่แข็งแรง จะส่งผลให้เป็นโรคสารพัด เช่น กระดูกพรุน, เข่าเสื่อม และหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมทับเส้นประสาท การออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงขึ้น แต่ทั้งสามปัจจัยนี้รวมกันช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเพียง 50% อีก 50% ต้องอาศัยการกินสมุนไพรที่มีคุณภาพเป็นประจำ ก็เหมือนเราจ่ายเงินซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตและสุขภาพให้ตัวเอง โดยจ่ายอาทิตย์ละพันกว่าบาท เมื่อเทียบกับค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย หรือค่ารักษาพยาบาลเมื่อป่วยไข้ก็ถือว่าคุ้มค่ากว่ามาก เพราะค่ารักษามะเร็งแค่ 3 เดือน ในวงเงิน 1 ล้านบาท สามารถจ่ายเป็นค่าสมุนไพรประกันสุขภาพตัวเองได้ถึง 20 ปี
จริงไหม... “สมุนไพร” สามารถเปลี่ยนชีวิตให้เป็น ยอดมนุษย์ที่แข็งแรงกว่า อายุยืนกว่า และห่างไกลจากโรคมากกว่า...ต้องพิสูจน์!!
ทีมข่าวหน้าสตรี
http://www.thairath.co.th/content/414783